หลังจาก กลุ่มทุนอาบูดาบี (Abu Dhabi United Group Investment and Development Limited) นำโดย ชีค มานซูร์ จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้ามาเทคโอเวอร์ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยมูลค่ามหาศาลถึง 210 ล้านปอนด์
ในปี 2008 “เรือใบสีฟ้า” ก็เริ่มกลายเป็นทีมมหาอำนาจของวงการฟุตบอลยุโรปทันที
แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การบริหารงานของ มานซูร์ เป้าหมายหลักคือ การก้าวขึ้นมาครองความสำเร็จในเกาะอังกฤษ และพัฒนาให้เป็นยอดทีมเคียงข้างกับบรรดาสโมสรชั้นนำในประเทศอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซ่อล และ ลิเวอร์พูล
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เสริมทัพครั้งยิ่งใหญ่
ในฤดูกาลปี 2008-09 มานซูร์ จัดหนักลงทุนเสริมทัพครั้งใหญ่ให้กับ มาร์ค ฮิวจ์ส กุนซือชาวเวลส์ของ แมนฯ ซิตี้ ทันที ด้วยการคว้านักเตะฝีเท้าดี อาทิ ปาโบล ซาบาเลต้า แบ็คขวาชาวอาร์เจนไตน์, โรบินโญ กองหน้าทีมชาติบราซิล, โช ดาวยิงแซมบ้า และ แวงซองต์ กอมปานี กองหลังชาวเบลเยียม
นอกจากนี้ ในตลาดหน้าหนาวปี 2009 แมนฯ ซิตี้ ยังทุ่มเงินคว้านักเตะดังอาทิ เวย์น บริดจ์ แบ็คซ้ายชาวอังกฤษ และ ไนเจล เดอ ยองค์ ห้องเครื่องชาวดัตช์ กองหลังชาวเบลเยียม ไปร่วมทีมเพิ่มอีก แต่ผลงานก็ยังไม่เป็นที่น่าประทับใจแม้จะผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศซึกฟุตบอล ยูฟ่า คัพ ก็ตาม
ในเดือนธันวาคมปี 2009 มานซูร์ ตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการปลด ฮิวจ์ส และดึงตัว โรแบร์โต้ มันชินี่ ยอดโค้ชชาวอิตาเลียนเข้ามานำทัพแทน และ มันชินี่ ก็พาทีมจบอันดับ 5 ในพรีเมียร์ลีก พร้อมกับได้สิทธิ์แข่งขันในศึกฟุตบอล ยูฟ่า ยูโรปา ลีก
ซัมเมอร์ปี 2009 มันเป็นตลาดที่น่าตื้นเต้นสำหรับ แมนฯ ซิตี้ อย่างแท้จริง หลังจากพวกเขาเดินหน้าคว้าดาวดังอาทิ คาร์ลอส เตเบซ, เอ็มมานูเอล อเดบายอร์, โคโล่ ตูเร่, แกเร็ธ แบร์รี่,
โรเก้ ซานตา ครูซ และ โจลีออน เลสคอตต์ ไปเสริมทัพเพื่อไล่ล่าความสำเร็จมาประดับตู้โชว์ของสโมสร
ภายใต้การคุมทีมของ มันชินี่ นั้น แมนฯ ซิตี้ ขึ้นมาเป็นหนึ่งในสโมสรยักษ์ใหญ่ของอังกฤษได้สำเร็จ โดยพวกเขาเข้าชิงชนะเลิศศึกฟุตบอล เอฟเอ คัพ ในปี 2011 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี และสามารถเอาชนะ สโต๊ก ซิตี้ 1–0
พร้อมคว้าแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ แถมยังชนะอริตลอดกลาลอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในรอบรองชนะเลิศอีกด้วย
การคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 2011 นั้น มันป็นการกลับมาคว้าถ้วยรางวัลครั้งแรกในรอบกว่า 35 ปี ของ แมนฯ ซิตี้ นับตั้งแต่ได้แชมป์ ลีก คัพ ในปี 1976 รวมทั้งคว้าตั๋วผ่านเข้าไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1968
หลังจบฤดูกาล 2010–11 ด้วยการคว้าอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก
แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกของสโมสร
ก่อนเริ่มซีซั่น 2011-12 แมนฯ ซิตี้ ภายใต้การนำของ มันชินี่ กำลังมีทีมที่ลงตัวอยู่แล้ว โดยพวกเขามีคีย์แมนอย่าง กอมปานี และ ตูเร่ ยืนบัญชาการในแนวรับ ส่วนแดนกลางมี เดอ ยอง กับ แบร์รี่ ช่วยกันทำเกม และแนวรุกนำโดย ดาบิด ซิลบา และ เตเบซ
อย่างไรก็ตาม แมนฯ ซิตี้ ยังไม่หยุดเสริมขุมกำลังเชิงหลึก หลังจากในซัมเมอร์พวกคว้าตัวนักเตะใหม่ อย่าง กาแอล คลิชี่ และ ซามี นาสรี่ 2 แข้งฝรั่งเศส จาก อาร์เซน่อล โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ กองกลางชางอังกฤษ จาก แมนฯยูไนเต็ด
คาสเทล ปานติลิมอน นายทวารชาวโรมาเนียจาก โปลิเตห์นิก้า สเตฟาน ซาวิช แนวรับชาวเซอร์บเบียจากและดีลที่คุ้มค่าที่สุดตลอดกาลของสโมสรอย่าง เซอร์คิโอ อเกวโร่ จาก แอตเลติโก มาดริด
ในซีซั่นดังกล่าว แมนฯ ซิตี้ ทำผลงานได้อย่างร้อนแรงอาทิ การบุกไปถล่ม ท็อตแน่ม ฮอทสเปอร์ 5–1 และบุกไปชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้ถึง โอล์ด แทรฟฟอร์ด 6–1
และทำให้พวกเขาได้ลุ้นแชมป์กับ “ปีศาจแดง” ไปถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล
วันที่ 13 พฤษภาคม ปี 2012 ซึ่งเป็นนัดสุดท้ายของการแข่งขันพรีเมียร์ลีก แมนฯ ซิตี้ และ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่างก็มีคะแนนเท่ากัน คือ 86 แต้ม แต่ผลต่างของประตูได้เสียของ “เรือใบสีฟ้า” ดีกว่า โดย แมนฯ ซิตี้ พบกับ ควีน ปาร์ค แรนเจอส์ ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม ส่วน แมนฯ ยูไนเต็ด ออกไป เยือน ซันเดอร์แลนด์
มันเป็นเกมที่คู่ต่างต้องการชัยชนะ เพราะหาก แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ และ แมนฯ ซิตี ทำได้แค่เสมอหรือแพ้ “ปีศาจแดง” จะคว้าแชมป์ทันที ซึ่งปรากฏว่า ทีมของ เฟอร์กูสัน บุกไปเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 1-0 ฃ
แต่เกมที่ แมนฯ ซิตี้ พบกับ คีวพีอาร์ นั้น ยังไม่จบ และ “เรือใบสีฟ้า” ตามหลัง 1-2 อย่างไรก็ตาม ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แมนฯ ซิตี้ พลิกกลับมาแซงขึ้นมานำ คีวพีอาร์ แบบปาฏิหาริย์ในนาทีที่ 91 และ 94 จากการยิงประตูของ อเกวโร่
ช่วยให้ “เรือใบสีฟ้า” พลิกชนะ 3–2 พร้อมกับคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม หลังจากรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดมานานกว่า 44 ปี