เซร์คิโอ โกเมซ แบ็คซ้ายชาวสเปนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นหนึ่งในขุนพลทัพ “เรือใบสีฟ้า” เพียงไม่กี่คนที่ต้องดูศึก ฟุตบอลโลก ปี 2022 ที่ประเทศกาตาร์อยู่ที่บ้าน
ในทัวร์นาเมนท์ที่กาตาร์ นั้น นักเตะ แมนฯ ซิตี้ มากถึง 16 ราย ที่ต้องมีภารกิจไปช่วยบ้านเกิดของตัวเอง แต่สำหรับ โกเมซ กำลังอยู่ในช่วงพักผ่อน ก่อนจะกลับมาลุยงานหนักในช่วงครึ่งฤดูกาลที่เหลือกับ “เรือใบสีฟ้า” ภายใต้การนำของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอดโค้ชชาวสเปน
ขณะเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดาว่า หลังจบศึกฟุตบอลโลก แมนฯ ซิตี้ จะมีทิศทางอย่างไรต่อไป โดยผู้เล่นที่ไปช่วยบ้านเกิดส่วนใหญ่ก็อยู่ในข่ายตัวจริงในทีมของ กวาร์ดิโอล่า อยู่แล้ว แต่สำหรับ โกเมซ ก็อยู่ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย
เซร์คิโอ โกเมซ กับการย้ายสู่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเจอกับสถานการ์ที่ยากลำบาก
ฟูลแบ็ควัย 22 ปี ย้ายจาก อันเดอร์เลชท์ ในลีกเบลเยียม มาเล่นในถิ่น เอติฮัด สเดเดี้ยม เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ด้วยค่าตัวราว 12 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่า แมนฯ ซิตี้ คว้าตัวเขามาเพื่อเป็นกำลังสำคัญในอนาคต และเป็นตัวคอยหมุนเวียนให้กับ ชูเอา กันเซโล่ แบ็คทีมชาติโปรตุเกส
หลังย้ายมาเล่นกับ แมนฯ ซิตี้ โกเมซ เกือบจะถูกปล่อยออกไปด้วยสัญญายืมตัวทันทีเพื่อหาประสบการณ์ แต่ กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจว่า จะเก็บเขาไว้ในทีมชุดแรกของ “เรือใบสีฟ้า” โดยมองว่า มีคุณภาพและฝีเท้าดีเพียงพอที่จะเข้ามาอยู่ในทีม
ด้วยตัวเลือกแรกในตำแหน่งฟูลแบ็คของ แมนฯ ซิตี้ เป็น ไคล์ วอล์คเกอร์ และ กันเซโล่ ซึ่งเต็มไปด้วยคุณภาพ และประสบการณ์ มันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับ โกเมซ ที่จะแย่งตำแหน่งตัวจริงในทีมของ กวาร์ดิโอล่า ทันที
แม้จะไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากเท่าที่ควร แต่ โกเมซ ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกม “แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แมทช์” ที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 6-3 เมื่อเดือนตุลามคมที่ผ่านมา ซึ่งเขาถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองแทนที่ วอล์คเกอร์
อย่างไรก็ตาม กองหลังชาวสเปน ทำผิดพลาดในเกม ยูฟ่า แชทเปี้ยนส์ ลีก ที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านเสมอกับ เอฟซี โคเปนเฮเก้น หลังโดนใบแดงไล่ออกจากสนามในนาทีที่ 30 นั้น ทำให้ กวาร์ดิโอล่า ดูเหมือนจะสูญเสียความไว้วางใจในตัวเขาไปเล็กน้อย
ในเกมกับ โคเปนเฮเก้น โกเมซ โดนใบแดงไล่ออกในข้อหาเหนี่ยว อาร์นาร์ ฮาราลด์สสัน ล้มใกล้เขตโทษ และจากการที่เขาโดนกรรมการตะเพิด นั้น ก็ส่งผลให้นักเตะ แมนฯ ซิตี้ ต้องเล่นด้วยการเหลือเพียง 10 คน นานถึงเกือบ 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว
เรียกความมั่นใจกลับคืนมา และโอกาสลงสนาม
หลังจากอาการบาดเจ็บของ วอล์คเกอร์ ซึ่งทำให้ลงเล่นไม่ได้จนถึงฟุตบอลโลก นั้น ทำให้ กันเซโล่ และ โกเมซ เป็นฟูลแบ็คเพียง 2 รายในทีมชุดใหญ่ที่พร้อมลงสนามให้กับ แมนฯ ซิตี้ โดยกหลายคนคาดหมายว่า กันเซโล่ จะถูกโยกมาฝั่งขวา และ อดีตแข้ง อันเดอร์เลชท์ จะยึดตำแหน่งตัวจริงทางฝั่งซ้าย
แต่หลังจบเกมกับ โคเปนเฮเก้น กวาร์ดิโอล่า ตัดสินใจมอบหมายให้ กันเซโล่ ยืนเป็นแบ็คซ้ายเหมือนเดิม โดยขยับ จอห์น สโตนส์ ปราการหลังทีมชาติอังกฤษ ขยับมายืนเป็นแบ็คขวาแทน ซึ่งทำให้ โกเมซ ยังคงเป็นตัวสำรองเช่นเดิม
หลังย้ายมาเล่นในถิ่น เอติฮัด สเดเดี้ยม ดาวเตะวัย 22 ปี มีโอกาสลงสนามไปรวมทุกรายการเพียง 10 เกมเท่านั้น ซึ่งเกมที่เขาได้ลงเล่นก็จะเป็นฟุตบอลถ้วยในเกม ลีก คัพ กับ เชลซี และในศึก พรีเมียร์ลีก ตลอด 5 เกมหลังสุด โกเมซ ไม่ได้สัมผัสเกมเลยแม้แต่หนเดียว
แม้ว่าจะมีเหตุผลทางแท็คติคอย่างไม่ต้องสงสัยสำหรับการตัดสินใจของ กวาร์ดิโอล่า หลังจาก กันเซโล่ ทำผลงานได้อย่างสุดยอดในตำแหน่งแบ็คซ้าย แต่สำหรับ สโตนส์ ที่ไม่ถนัดกับการยืนเป็นแบ็คขวามันก็ทำให้ โกเมซ เหมือนถูกมองข้ามไป
ก่อนพักเบรกฟุตบอลโลก แมนฯ ซิตี้ ลงสนามโดยมีฟูลแบ็คธรรมชาติเพียงคนเดียวคือ กันเซโล่ โดย โกเมซ ที่เป็นแบ็คซ้ายอาชีพกลับต้องอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง ซึ่งมันเป็นสถานการณืที่ยากลำบากสำหรับ อดีตแนวรับ อันเดอร์เลชท์ พอสมควร
โอกาสลงสนามที่ค่อนข้างจำกัดของ โกเมซ ไม่ได้หมายความว่า เจ้าตัวกำลังจะหมดอนาคตกับ แมนฯ ซิตี้ เขาอายุเพียง 22 ปี และยังมีเวลาเรียนรู้อีกมาก รวมถึงยังมีเวลาช่วงพักเบรกฟุตบอลโลก ในการเรียกพลัง และความมั่นใจกลับคืนมาให้ กวาร์ดิโอล่า ได้เห็น
โกเมซ เป็นฟูลแบ็คสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยคุณภาพ และพรสวรรค์ แต่เขาก็ต้องการเพียงแค่เวลาในการเรีนรรู้ และปรับตัวให้เขากับสโมสรใหม่ เพื่อนร่วมทีม ผู้จัดการทีม และการรับมือกับการแข่งขันที่ดุดันอย่าง พรีเมียร์ลีก
หลังจบศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ นักเตะ แมนฯ ซิตี้ หลายๆคนอาจจะเจอความเหนื่อยล้า จากการกรำศึกหนัก ซึ่งนั่นจะเป็นช่วงเวลาสำคัญ และโอกาสที่ดีสำหรับ โกเมซ ในการพิสูจน์ตัวเองให้ กวาร์ดิโอล่า ได้เห็นว่า เขาดีพอที่จะเป็นตัวจริงให้กับพลพรรค “เรือใบสีฟ้า” ได้