จากผลงาน 1 ประตู และทำไปอีก 6 แอสซิสต์ ในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพทีมชาติเบลเยียมของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แสดงให้เห็นแล้วว่า เขามีความสำคัญมากเพียงใดกับพลพรรค “เรือใบสีฟ้า” ภายใต้การนำของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ยอดกุนซือชาวสเปน
ในซีซั่น แมนฯ ซิตี้ เปลี่ยนโฉมหน้าเกมรุกไปพอสมควรหลังได้ เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ศูนย์หน้าชาวนอร์เวย์ มาจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในบุนเดสลีกา เยอรมัน และปล่อย 2 นักเตะอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ปีกชาวอังกฤษ และ กาเบรียล เฆซุส หัวหอกชาวบราซิล ให้กับ เชลซี และ อาร์เซน่อล ตามลำดับ

เควิน เดอ บรอยน์ ผู้คุมจังหวะเกมรุกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้เล่นในแดนหน้าของ แมนฯ ซิตี้ จะเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่คือ การมี เดอ บรอยน์ คอยยืนปักหลักบัญชาเกมอยู่กลางสนาม ซึ่งยังทำให้พลพรรค “เรือใบสีฟ้า” เป็นทีมที่อันตรายเหมือนเดิม
เดอ บรอยน์ เป็นผู้ทำประตูสูงสุดของ แมนฯ ซิตี้ ในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยทำได้ถึง 15 ประตู จาก 30 นัดที่ลงเล่น และมีเพียง ซอง เฮือง มิน ดาวยิงชาวเกาหลีใต้ของ ท็อตแน่ม ฮอทเปอร์ ที่ทำประตูได้มากกว่าเขาหากไม่นับรวมจุดโทษตั้งแต่ในเดือนมกราคมจนถึงช่วงสิ้นสุดฤดูกาล
ในเกมลีกที่ แมนฯ ซิตี้ บุกไปถล่ม วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 3-0 ที่สนาม โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา เดอ บรอยน์ ก็ทำผลงานได้อย่างสุดยอดด้วยการทำไป 2 แอสซิสต์ให้กับ แจ็ค กรีลิช และ ฟิล โฟเด้น ซัดประตู
กวาร์ดิโอล่า กล่าวว่า “เควิน ทำประตูได้มากมายในฤดูกาลที่แล้ว แต่ปีนี้เขาเน้นเรื่องแอสซิสต์มากกว่าการทำประตู” คำอธิบายของ นายใหญ่ แมนฯ ซิตี้ ก็แสดงให้เห็นถึงบทบาทที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของ เดอ บรอยน์
หน้าที่หลักของ ดาวเตะวัย 31 ปี ในซีซั่นนี้คือ การเป็นเพลย์เมคเกอร์อยู่ข้างหลัง ฮาแลนด์ ซึ่งเขาก็มีสว่นสำคัญที่ทำให้ อดีตหัวหอก ดอร์มุนด์ ระเบิดฟอร์มซัดไปถึง 14 ประตู จาก 10 เกมที่ลงสนามรวมทุกรายการ
ผลงานของ เดอ บรอยน์ โดดเด่นเป็นอย่างมาก และเราต้องชื่นชมการจบสกอร์ของ ฮาแลนด์ ด้วยเช่นกัน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความคิดสร้างสรรค์ในการผ่านบอลของ เดอ บรอยน์ และจินตนาการในการดล่นฟุตบอลของเขานั้น ดูเหนือชั้นกว่าผู้เล่นเกือบทุกคนในศึก พรีเมียร์ลีก
ขณะเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้ เดอ บรอยน์ ให้สัมภาษณ์ในการประเมินผลงานของเขาเองว่า “ผมพยายามสร้างโอกาสให้ทีมของตัเองให้มากที่สุด และหากเพื่อนร่วมทีมทำประตูได้ ผมก็จะได้แอสซิสต์ไปด้วย ผมทำแบบนี้ตลอดตั้งแต่ย้ายมา”

นักเตะจอมแอสซิสต์
ตอนนี้ เดอ บรอยน์ ทำสถิติแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกไปแล้วถึง 92 ครั้ง เท่ากับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตกองกลางกัปตันทีม ลิเวอร์พูล และตามหลัง ดาบิด ซิลบา อดีตจอมทัพชาวสเปนของ แมนฯ ซิตี้ และ เดนนิส เบิร์กแคมป์ ตำนานดาวยิงชาวดัตช์ของ อาร์เซน่อล เพียง 2 ครั้งเท่านั้น
เดอ บรอยน์ อธิบายต่อว่า “ผมคิดแค่เกมต่อเกมเท่านั้น ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงทุกครั้งตามจังหวะของเกมในสนาม มันมีเกมหลายปีที่ผมเล่นอยู่หน้าแนวรับมากกว่าเดิม แล้วก็ขยับเล่นเกมรุกมากขึ้น และบางทีก็ไปยืนเป็นนักเตะหมายเลข 9 มันขึ้นอยู่กับว่า โค้ชจะมอบหมายให้ผมเล่นในบทบาทไหน”
เมื่อมองดูค่าเฉลี่ยในการยืนตำแหน่งของ เดอ บรอยน์ จาก 3 ฤดูกาลที่ผ่านมานั้น จะเห็นได้ชัดเจนว่า เขาจะขยับมายืนทางริมเส้นฝั่งขวาเยอะมาก ซึ่งโซนนั้นที่เขาสามารถผ่านบอล ยิง หรือจ่ายบอลทะลุช่องผ่านแนวรับได้ด้วยเท้าทั้งสองข้าง
ในฤดูกาลนี้ อดีตกองกลาง เชลซี และ โวล์ฟบวร์ก ถูกขยับไปยืนสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังเน้นขึ้นเกมทางด้านขวาอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า กวาร์ดิโอล่า ไม่ต้องการให้เขาไปยืนทับตำแหน่งกับ ฮาแลนด์ ในกรอบเขตโทษคู่แข่ง และ แมนฯ ซิตี้ จะได้ประโยชน์จากการผ่านบอลของ เดอ บรอยน์ อีกด้วย
สถิติอย่างหนึ่งของ เพลย์เมคเกอร์ชาวเบลเยียม ในปีนี้น่าสนใจอย่างยิ่งคือ เจ้าตัวสัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งมากยิ่งขึ้นกว่า 7 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่มาเล่นในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม และนี่เป็นอาวุธที่ กวาร์ดิโอล่า ใช้ทำลายแนวรับคู่ต่อสู้
ในวัย 31 ปี กวาร์ดิโอล่า ใช้งาน เดอ บรอยน์ แบบเหมาะสม โดยไม่หนักจนเกินไป และเพื่อรักษาสภาพวามฟิตยืนระยะไปตลอดทั้งฤดูกาลที่มีการแข่งขันเข้มข้น ซึ่งเห็นจากเกมกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่ แมนฯ ซิตี้ นำขาดไปแล้ว เขาได้ลงเล่น 70 นาที ก่อนจะโดนเปลี่ยนออกมาพัก
เดอ บรอยน์ เป็นผู้เล่นที่ทำงานหนักมากทั้งในเกมรับ และเกมรุก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ แมนฯ ซิตี้ มาตลอดหลายปีแล้ว และปีนี้ดูเหมือนว่า เขาจะเข้าสู่จุดพีคที่สุดของตัวเองทั้งในเรื่องฟอร์มการเล่นส่วนตัว และประสบการณ์ในสนาม
แกรี่ เนวิลล์ อดีตแบ็คขวาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งปัจจุบันรับบทกูรู แสดงความคิดเห็นว่า “ระยะประมาณ 30 หลาจากประตู มันกลายเป็นโซนที่อันตรายอย่างมากสำหรับ เดอ บรอยน์ ผมคิดว่าตอนนี้มันกำลังมาถึงจุดที่คุณไม่สามารถปล่อยให้เขามีพื้นที่ว่างในตำแหน่งดังกล่าวได้เลย”
“เดอ บรอยน์ ย้ำถึงระดับคุณภาพ และความแม่นยำจากการผ่านบอลทางด้านขวาแบบที่ เดวิด เบ็คแฮม เคยทำให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดว่า เราจะได้เห็นอีกครั้งในพรีเมียร์ลีก จนมาถึงยุคของ เดอ บรอยน์”