สเตฟาน ออร์เตก้า นายทวารมือ 2 ชาวเยอรมัน ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เปิดเผยถึงการเริ่มต้นกับชีวิตใหม่ในทัพ “เรือใบสีฟ้า” การแข่งขันเพื่อแย่งตำแหน่งกับ เอแดร์สัน โกล์ทีมชาติบราซิล และการทำงานกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือ “เรือใบสีฟ้า”
ออร์เตก้า ย้ายจาก อาร์มีเนีย บีเลเฟลด์ ในลีก 2 ของเยอรมัน มาเฝ้าเสากับ แมนฯ ซิตี้ แบบไม่มีค่าตัวเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความเซอร์ไพรส์ของหลายๆคน โดยนายด่านวัย 30 ปี มีโอกาสลงสัมผัสเกมในสีเสื้อ “เรือใบสีฟ้า” ไปแล้ว 3 นัด
ขณะเดียวกัน อดีตมือกาว บีเลเฟลด์ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นในเกม คาราบาว คัพ รอบ 3 ที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดรัง เอติฮัด สเตเดี้ยม เอาชนะ เชลซี 2-0 ซึ่งเกมดังกล่าว ออร์เตก้า ได้รับรางวัล แมน ออฟเดอะ แมตช์ อีกด้วย
สเตฟาน ออร์เตก้า กับประสบการณ์ใหม่ที่ แมนฯ ซิตี้
ออร์เตก้า กล่าวถึงเกมกับ เชลซี ว่า “เมื่อผมได้ยินเสียงเชียร์จากแฟนบอล และคิดว่า โอ้ นั่นคือ พวกเขาเรียกชื่อของผม ผมเริ่มยิ้มเล็กน้อย มันเป็นความรู้สึกที่ดี และเป็นสัญญาณที่ดีมากๆ ผมคิดว่านั่นหมายความว่า ผมทำผลงานได้ดี”
ย้อนกลับไปในเกมกับ เชลซี โกล์เลือดเบียร์ ทำผลงานสุดยอดด้วยการเซฟไปถึง 5 ครั้ง ซึ่งหลังจบเกมเจ้าตัวก็ได้รับการแสดงความยินดีจาก เอแดร์สัน และ สก็อตต์ คาร์สัน นายทวารมือ 3 มากประสบการณ์ของ แมนฯ ซิตี้ ในห้องแต่งตัว
การเล่นโดยภาพรวมของ ออร์เตก้า นั้น ยอดเยี่ยมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นจังหวะการเซฟประตู การตัดสินใจ การผ่านบอล การยืนตำแหน่ง และการตัดสินใจภายใต้ความกดดันในจังหวะสำคัญต่างๆ ซึ่งทำให้เขาได้รับการชื่นชมว่า สามารถยืนเฝ้าเสาเป็นมือ 1 ให้กับทีมอื่นได้แบบสบายๆ
ก่อนหน้านี้หลายคนมองว่า แมนฯ ซิตี้ ตัดสินใจทำธุรกิจที่แปลกพอสมควรหลังจากคว้า ออร์เตก้า ที่พา บีเลเฟลด์ ตกชั้นจาก บุนเดสลีกา เมื่อฤดูกาลที่แล้วเข้ามาร่วมทีม แต่สุดท้ายดูเหมือนว่า จะเป็นการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
มือกาววัย 30 ปี กล่าวต่อว่า “ก่อนหน้านี้ แมนฯ ซิตี้ บอกผมว่า พวกเขากำลังมองหาผู้รักษาประตูที่พยายามผลักดัน เอแดร์สัน ได้ และพยายามปรับปรุงตัวเองเสมอ และพร้อมเมื่อถึงเวลาลงเล่น สถานการณ์นี้สำหรับผมคือ การปรับปรุงตัวเองในทุกๆวัน โชว์ผลงานที่ดีที่สุด ซึ่งนั่นคือเป้าหมาย”
“การฝึกซ้อมที่สโมสรแห่งนี้มีคุณภาพมากมาย แม้แต่กับโค้ชผู้รักษาประตูเองก็ตาม ผมก็ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากมาย ผมคิดว่า ตัวเองเป็นผู้รักษาประตูที่ดีกว่าเดิม”
โอกาสลงสนาม และการทำงานที่ แมนฯ ซิตี้
แม้จะยังไม่ได้ลงเล่นใน พรีเมียร์ลีก เลยแม้แต่เกมเดียว แต่ ออร์เตก้า ได้ลงเล่นในเกมฟุตบอลถ้วยกับ เชลซี และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ เซบีย่า มาแล้ว โดยเจ้าตัวก็เปิดเผยว่า ชาบี มานซิซิดอร์ โค้ชผู้รักษาประตูก็ แมนฯ ซิตี้ ก็มีส่วนช่วยเขาอย่างมาก
ออร์เตก้า ระบุว่า “มันสำคัญมากสำหรับผมที่จะลงเล่นเกมบางเกม ช่วงเวลาก่อนที่คุณจะฝึกซ้อมโดยไม่มีเป้าหมายในสุดสัปดาห์ ดังนั้น มันจึงค่อนข้างยาก แต่ ชาบี บอกผมทุกครั้งว่า ซ้อมต่อไป สู้ต่อไป เพราะจะมีมีบางเกมที่คุณเล่นได้ ผมมีความสุขมากที่ได้เล่นมาแล้ว 3 เกม โดยเฉพาะเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 เกม”
ออร์เตก้า เป็นผู้เล่นชาวเยอรมันอีกคนที่ไม่ได้มีชื่อติดทัพ “อินทรีเหล็ก” ไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ แต่เขาก็ตระหนักดีว่า เมื่อตัดสินใจย้ายมายัง แมนฯ ซิตี้ ก็จะทำให้ตัวเองมีโอกาสติดทีมชาติมากขึ้น แม้จะรับบทมือ 2 กับ “เรือใบสีฟ้า” ก็ตาม
ขณเดียวกัน การทำงานร่วมกับยอดโค้ชอย่าง กวาร์ดิโอล่า ก็ยิ่งทำให้เขาได้พัฒนาวิธีการเล่นมากขึ้น โดยเล่าว่า “เป๊ป ชอบเวลาที่ผู้รักษาประตูสร้างเกมได้ดี แต่เขาบอกผมเสมอว่า ท้ายที่สุดแล้วหน้าที่ของคุณคือ การป้องกันประตู”
“คุณสามารถเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดได้ แต่เมื่อคุณมือตัดสินใจผิดจังหวะ นั่นแสดงว่าคุณคือความผิดพลาดในงานของคุณเอง เขาต้องการความครบครัน การป้องกันประตูที่ดี และการใช้เท้าที่ดีจากผู้รักษาประตู”
นอกจากนี้ อดีตโกล์ บีเลเฟลด์ ยังกล่าวถึงการได้ทำงานร่วมกับ เอแดร์สัน และ คาร์สัน ด้วยว่า “สำหรับผม พวกเขาทั้ง 2 คน ช่วยผมได้เยอะมากในช่วงแรก พวกเขาเขาเป็นคนชยอด และเป็นผู้รักษาประตูระดับท็อป พวกเขาเป็นคนดีจริงๆ”
สำหรับตอนนี้ เป็น เอแดร์สัน ที่ยังคงได้รับความไว้วางใจจาก กวาร์ดิโอล่า ให้ยืนเฝ้าเสาเป็นนายทวารมือ 1 อย่างไร้ข้อโต้แย้ง แต่สำหรับ ออร์เตก้า ก็ยังคงมุ่นมั่นฝึกซ้อม ทำงานหนัก และรอคอยโอกาสของตัวเองต่อไปอย่างกระตือรือร้น
หากถามว่า ผู้เล่นคนใดเป็นการทำธุรกิจที่คุ้มค่าที่สุดของ แมนฯ ซิตี้ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา แน่นอนทุกคนต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ หัวหอกชาวนอร์เวย์ ที่ย้ายมาจาก ดอร์ทมุนด์ ด้วยค่าตัวราว 51 ล้านปอนด์
แต่สำหรับ ออร์เตก้า ที่ไม่มีใครรู้จัก และย้ายมาแบบไร้ค่าตัวนั้น ก็กลายมาเป็นมือ 2 ที่ แมนฯ ซิตี้ สามารถไว้ใจได้ และพร้อมเสมอเมื่อได้รับโอกาส ซึ่งจะว่าไปแล้ว โกล์วัย 30 ปี ก็เป็นการทำธุรกิจที่คุ้มค่าของ “เรือใบสีฟ้า” ไม่น้อยหน้า ฮาแลนด์ เลยทีเดียว